เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เวลาผู้คนไปไหนมาไหน ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อป้องการความเสี่ยงในการรับเชื้อ และปล่อยเชื้อออกมา นอกจากนี้การใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว ยังสามารถใส่เพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้อีกด้วย ดังนั้น การเลือกประเภทของหน้ากากอนามัยให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ สามารถป้องกันทั้งการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ และป้องกันอันตรายจากมลพิษของฝุ่นบางประเภทได้ แต่หากเลือกใช้ไม่เหมาะ ก็อาจไม่ช่วยอะไรเลยเช่นกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะพาไปทำความรุ้จักกับหน้ากากแต่ละประเภทว่าเหมาะกับะกับการใช้งานแบบใดบ้าง เพื่อให้คุณได้เลือกซื้อเลือกใช้ได้ตอบโจทย์กับความต้องการของคุณมากที่สุด
หน้ากากอนามัยแต่ละประเภทเหมาะกับการใช้งานแบบไหนบ้าง ?
หน้ากากทางการแพทย์
ผลิตขึ้นจากผ้าหรือพอลิโพรไพลีน ซึ่งเป็นพลาสติกที่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ช่วยป้องกันโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสจากคนสู่คนได้ถึง 99% นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันฝุ่น และเกสรดอกไม้ ขนาดเล็กสุดถึง 3 ไมครอน และสามารถกันได้ถึง 66.37% แต่แนะนําให้ใส่ 2 แผ่น เพราะจะกันได้มีประสิทธิภาพถึง 89.75% ซึ่งวิธีการใส่ ควรใส่โดยการนําด้านสีเขียวออกด้านหน้า เพื่อกันสารคัดหลั่งจากผู้อื่นเข้ามาสู่ตัวเรา
หน้ากากทางการแพทย์ มีความสามารถในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และสารคัดหลั่งจากผู้อื่นได้
หน้ากากคาร์บอน
มีคุณสมบัติไม่ต่างจากหน้ากากทางการแพทย์ แต่จะมีความพิเศษตรงที่มีชั้น Carbon ที่มีคุณสมบัติกรองกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ได้ดีกว่าหน้ากากอนามัยทั่วไป ซึ่งมีความหนา เส้นใยสังเคราะห์ถึง 4 ชั้น สามารถกรองเชื้อแบคทีเรียได้ถึง 95% กรองฝุ่นละออง ขนาด 3 ไมครอน สามารถกันได้ถึง 66.37% และถ้าสวมใส่ 2 แผ่น จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันถึง 89.75% เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยทางการแพทย์
หน้ากากอนามัยแบบคาร์บอน มีความสามารถในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และสารคัดหลั่งจากผู้อื่นได้
หน้ากากผ้า
มีการผลิตเป็น 2 แบบ แแบบที่หนึ่ง ผลิตจากผ้าฝ้าย ใช้สําหรับป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการกระจายของน้ำมูกหรือน้ําลายจากการ ไอ หรือจามได้ แต่ไม่สามารถกรองเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ได้ แบบที่สอง ผลิตจากใยสังเคราะห์ซ้อนทบชั้นกัน ซึ่งคุณสมบัติของหน้ากากชนิดนี้สามารถกรองฝุ่น ป้องกันเชื้อโรคจําพวกเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราได้ ซึ่งหน้ากากทั้ง 2 แบบนี้ สามารถนำมาซัก และใช้ซ้ำได้
หน้ากากผ้า มีความสามารถในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ น้ำมูก และน้ำลาย
หน้ากากฟองน้ำ
ผลิตจากโพลียูรีเทนคาร์บอน สําหรับกรองอากาศ ควัน ฝุ่น โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถซักทําความสะอาดได้ แห้งเร็ว พับเก็บแล้วไม่ยับ สามารถคืนรูปเดิมได้ไม่เสียทรง ส่วนประสิทธิภาพในการป้องกันสามารถกันฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็ก และเกสรดอกไม้ได้ แต่ไม่สามารถกันฝุ่นละออง PM 2.5 และเชื้อไวรัสได้ จึงไม่ตรงกับสถานการณ์ที่สุด
หน้ากากฟองน้ำ มีความสามารถในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ น้ำมูก และน้ำลาย
หน้ากาก N95
เป็นหน้ากากที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานสูง ลักษณะพิเศษของหน้ากากชนิดนี้คือ รูปร่างที่สามารถครอบลงไปที่บริเวณหน้า จมูก และปากได้อย่างมิดชิด จึงทําให้เชื้อไวรัสหรือสารปนเปื้อนไม่สามารถลอดผ่านได้ และด้วยหน้ากากอนามัย N95 ผลิตจากโพลีโพรพีลีน จึงป้องกันเชื้อโรคที่มีอนุภาคขนาดเล็ก 0.3 ไมครอน อย่างเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ นอกจากนี้หน้ากาก N95 ยังป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ด้วย โดยมีประสิทธิภาพในการกรองสูงถึง 95%
หน้ากาก N95 มีความสามารถในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และสารคัดหลั่งจากผู้อื่นได้
หน้ากาก FFP1-FFP2
เป็นหน้ากากที่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับหน้ากากอนามัย N95 ที่สามารถช่วยป้องกันทั้งฝุ่น เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ดักจับอนุภาคขนาดเล็ก PM 2.5 และ PM10 ไม่น้อยกว่า 94% แต่นอกเหนือจาก N95 คือสามารถป้องกัน สารเคมีฟูมโลหะ ได้เพิ่มเติมอีกด้วย และออกแบบให้ส่วนบนมีความเว้า ครอบลงไปที่บริเวณหน้าปากและจมูกอย่างมิดชิด
หน้ากาก FFP1-FFP2 มีความสามารถในการป้องกัน เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และสารคัดหลั่งจากผู้อื่นได้
หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในปัจจุบัน ดังนั้นคุณจึงควรเลือกใช้หน้ากากอนามัยแต่ละประเภท ให้เหมาะกับการใช้งานที่คุณต้องใช้ เพื่อจะช่วยป้องกันทั้งเชื้อโรค และฝุ่นละออง อีกทั้้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการป่วยอีกด้วย